วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

บทความเกี่ยวกับการออกนอกระบบ

9 มิติ(นพลักษณ์)เกี่ยวกับอาจารย์ป๋วย: แง่คิดสำหรับ มศว เกี่ยวกับการออกนอกระบบ
สุรพล จรรยากูล Ph.D.
สังคมวิทยา มศว ประสานมิตร
…………………………………………..
ปฐมบท

อาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยสมัยจอมพล ส. จอมเผด็จการที่เป็นอธรรม(ผู้ทำตัวยิ่งใหญ่คับฟ้าคับแผ่นดิน) เป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ รับใช้ชาติบ้านเมืองอย่างกล้าหาญ ด้วยความเสียสละ และไม่มีเรื่องด่างพร้อยทั้งทางด้านวิชาการ การบริหาร การเมือง และศีลธรรม

แง่คิด 9 มิติที่ทรงค่าแก่การเรียนรู้และการคิดคำนึงเกี่ยวกับผู้บริหารมหาวิทยาลัย

มิติที่ 1 การใช้ความรู้ทางวิชาการช่วยเหลือชาติให้ปลอดภัยจากเผด็จการ จอมพล ส.(Dictator Sarit) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของการบริหารนโยบายการเงินของชาติ โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นกลไกหลัก คนในธนาคารแห่งประเทศไทยเคารพอาจารย์ป๋วยในฐานะปูชนียบุคคลที่สำคัญ ที่วางรากฐานอันมั่นคงให้แก่ธนาคารแห่งชาติ อาจารย์ป๋วยเป็นสัญลักษณ์ของ Ideal Leadership ของคนในธนาคารแห่งชาติ

มิติที่ 2 การอยู่กับเผด็จการ จอมพล ส. แต่ไม่เป็นทาสรับใช้เผด็จการ ที่สำคัญก็คือ ไม่มีพฤติกรรมที่สะท้อนถึงเชื้อพันธุ์ของเผด็จการ(Dictatorial Personality)ในตัวตนของอาจารย์ป๋วย ดังเช่นที่หลายคนชอบทำ เพราะได้ประโยชน์เป็นอามิสรางวัล โดยอ้างภาษิตโบราณแบบน้ำขุ่นๆว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” ซึ่งทำให้หลายๆคน “ตาแตก”มามากต่อมากแล้ว

มิติที่ 3 ความซื่อตรงต่อหลักวิชาความรู้ที่เป็นกลาง(academic/intellectual integrity) แต่ไม่ไร้หัวใจ ในการประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่มีวาระซ่อนเร้น( hidden agenda) ใดๆแฝงอยู่

มิติที่ 4 การตระหนักว่าตำแหน่งและอำนาจมิใช่คำตอบสำหรับเรื่องสำคัญๆ สิ่งสำคัญคือต้อง “ได้ใจ” ของผู้คนที่เกี่ยวข้อง อาจารย์เชื่อมั่นว่า Moral Suasion เป็นมรรคาที่ทรงคุณค่า ที่จะสร้างความเข้าใจและการยอมรับจาก stakeholders ทั้งหมด ทั้งนี้ เพราะเสถียรภาพทางการเงินของชาติเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ไม่สามารถทำเป็นเล่น หรือใช้อำนาจชี้นิ้วบันดาลให้สำเร็จจริงจังและยั่งยืนได้

มิติที่ 5 การเป็นสัญลักษณ์อันทรงคุณค่า(Meaningful Symbol) ของผู้ไม่โลภทางอามิสหรือมุ่งแสวงหาลาภสักการะ แม้อาจารย์ป๋วยจะมีตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารชาติ แต่สำนึกดีของอาจารย์ป๋วยย้ำเตือนว่า เงินเดือนที่ควรรับคือเงินเดือนในฐานะของอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มิใช่เงินเดือนในฐานะค่าจ้างรับใช้จอมเผด็จการ

มิติที่ 6 การเป็นที่ยอมรับในฐานะ Spiritual / Intellectual Leadership ดังปรากฏเป็นข้อเสนอเชิงปรัชญาและแนวปฏิบัติ ที่เรียกว่า “สันติประชาธรรม”(Peace, Democracy and Righteousness)

มิติที่ 7 การเป็น Political / Ideological Inspiration ของ New Generation ซึ่งนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางสังคมในปัจจุบันมากมาย

มิติที่ 8 การมีสำนึกที่ลุ่มลึกในบูรณาการเชิงสร้างสรรค์(Creative Integration) ระหว่าง “อุดมศึกษา” กับการรับใช้สังคม / ผู้ด้อยโอกาส ทั้งนี้ เป็นไปเพื่อการยกฐานะความเป็นมนุษย์ของปุถุชนให้สูงขึ้นและสมบูรณ์ขึ้นเป็นหลักใหญ่ ดังจะเห็นได้จากการก่อตั้งโครงการบัณฑิตอาสาสมัคร จนเป็นสำนักบัณฑิตอาสาสมัครในปัจจุบัน ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นตัวอย่าง

มิติที่ 9 ความกล้าหาญแต่นอบน้อมถ่อมตนยิ่ง ในการนำเสนอปรัชญาสังคมการเมืองบนฐานจริยธรรมที่ลุ่มลึก(Deep ethics-based socio-political philosophy) เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการผลักดันการเปลี่ยนแปลง และปฏิรูปสังคมไทยและสังคมโลกโดยรวม บนฐานของการเน้นคุณภาพชีวิตอันแท้จริงของมนุษย์เป็นหลัก ดังจะเห็นได้จากบทประพันธ์ เรื่อง “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”



ฐานคิดอธิการบดี ม.ขอนแก่น กับการออกนอกระบบ: “Elephant Model ?”
สุรพล จรรยากูล Ph.D.
สังคมวิทยา มศว ประสานมิตร
……………………………
สุภาษิตไทยโบราณ
บทหนึ่งกล่าวว่า “เห็นช้างขี้ อย่างขี้ตามช้าง”
อีกบทหนึ่งกล่าวว่า “เดินตามหลังผู้ใหญ่ มหาไม่กัด”
แล้วถ้าผู้ใหญ่ขี้ตามช้างเล่า ใคร? จะยอมเดินดุ่มๆตามผู้ใหญ่กันเล่า

ที่มาของประเด็น

ในการสัมภาษณ์รายการของวิทยุรัฐสภา วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2549 เวลาช่วงเย็น อธิการบดี ม.ขอนแก่น กล่าวถึงฐานคิดของตนเอง เกี่ยวกับการเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบว่า ในพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติได้กล่าวถึงมหาวิทยาลัยของรัฐ 2 ประเภท คือ มหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ และมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ(นอกระบบ) ถ้าการเป็นมหาวิทยาลัยนอกระบบไม้ดี กฎหมายจะบัญญัติไว้ทำไม??? ตรรกะประการแรกของท่านอธิการบดี ก็คือ อะไรที่กฎหมายเขียนไว้ให้ทำได้ ต้องดีทั้งนั้น นอกจากนี้ ท่านยังอ้างถึงร่าง พ.ร.บ.ของ ม.มหิดล และ ม.บูรพา ว่าได้ผ่านวาระที่ 1 ของ สนช. แล้ว ด้วยคะแนนท่วมท้น ตรรกะประการที่สองของท่านอธิการบดี ก็คือ ถ้ามีการลงคะแนนแล้ว เสียงส่วนใหญ่ว่าอย่างไร ต้องดีทั้งนั้น

คำถามที่เกิดขึ้น

สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ ตรรกะของท่านอธิการบดีว่าด้วย ส่งที่ดี ในประเด็นว่าด้วยสาธารณะ(public issue) ดังเช่นร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยออกนอกระบบนี้ ใช้ wordings ในกฎหมาย และ จำนวน Votes ใน สนช. เป็นเกณฑ์วินิจฉัยเพื่อการตัดสิน ยอมรับได้แค่ไหน อย่างไร

วิพากษ์ตรรกะที่ 1

คำถามสำคัญต่อตรรกะประการแรก ก็คือ กฎหมายฉบับหนึ่งๆ ไม่ใช่สัจธรรมสัมบูรณ์ เขียนแล้วแก้ แก้แล้วเขียน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้เสมอ กล่าวอย่างรวบรัด ถ้าอ่านแบบไม่คิดอะไร สิ่งที่เขียนตรงกันข้ามในกฎหมายเดียวกันแต่ต่างกาละ อาจกลายเป็นสิ่งที่ถูกทั้งคู่ก็ได้ ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม มิใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าผ่า นี่ย่อมหมายความว่า กฎหมายมิใช่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่นอกเหนือกาละและเทศะ จนมนุษย์เกี่ยวข้องหรือควบคุมปรับเปลี่ยนมิได้ นั่นเป็นเพราะ กฎหมายเป็นผลผลิตของความคิดของมนุษย์ในบริบทเฉพาะ (specific context)นั่นเอง ไม่ใช่กฏธรรมชาติ(natural law)ในโลกทางสังคม(social world) หรือสัจจะสัมบูรณ์(absolute truth) ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจจากแง่มุมทางวิชาการอยู่ที่ว่า ความคิดของใคร และด้วยวิธีการอย่างไรต่างหาก จากจุดนี้เอง บทสรุปเบื้องต้นแบบรวบรัดเกี่ยวกับ wordings ในกฎหมาย ก็คือ มันเป็นเพียงชิ้นส่วนหนึ่งในวาทกรรมชุดใหญ่ที่รองรับอยู่เท่านั้น ใครๆก็อ้างเพื่อใช้ประโยชน์ได้ ต่างกันก็เพียงแต่ว่า ใครอ้าง อ้างเมื่อไร และด้วยเหตุผลใดเท่านั้น

จากที่กล่าวมา จึงเห็นได้ว่า การอ้างเอาลอยๆเป็นสิ่งที่ใช่จะ “ฟังขึ้น”เสมอไป ดูจากตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงซึ่งจะยกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม ดังนี้

รูปธรรมที่ 1 ปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายอนุญาตให้จำหน่ายสุรา บุหรี่ และหวย(การพนันของรัฐ)ได้อย่างถูกต้อง ถ้าใช้ตรรกะนี้ หมายความว่า การจำหน่ายสุรา บุหรี่ และหวย เป็นสิ่งที่ดีแน่นอน ถ้าเช่นนี้ เราจะตอบคำถามเด็กนักเรียนชั้นประถมทั้งประเทศในเรื่องของอบายมุขและสุขบัญญัติ 10 ประการได้อย่างไร อะไรคือความชัดเจน อะไรคือความสับสนและของใคร เจตนาบิดเบือน หรือไม่รู้เอาเสียจริงๆ วิธีคิดเช่นนี้สะท้อนรากฐานของวิกฤติทางศีลธรรมในสังคมที่น่าเป็นห่วงยิ่ง ใครจะรับผิดชอบ(และรับผิดชอบอบไหน)เกี่ยวกับอุบัติเหตุและการตายอันเกิดจากการดื่มสุราและการสูบบุหรี่ เหยื่อบริสุทธิ์มีมากมาย อีกทั้งอาชญากรรมอื่นๆที่ตามมาอีกเล่า แล้วไงครับ ถูกกฎหมาย จึงดี แล้วไงครับ???

รูปธรรมที่ 2 กกต.ชุดที่แล้ว ได้รับการสรรหามาอย่างถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติ ถ้าใช้ตรรกะแรกนี้ แสดงว่า กกต.ทั้งหมดเป็นคนดี แล้วไงครับ ถูกพิพากษาติดคุกทั้ง 3 คนเลย ตอนนี้กำลังเผชิญวิบากกรรมจากการใช้อำนาจตามกฎหมายที่ตนเองคิดว่าผู้อื่นจะวินิจฉัยให้เป็นผิดมิได้

รูปธรรมที่ 3 มติ ครม.ชุดที่แล้ว มีมติให้ขายหวยบนดิน โดยไม่รู้ว่าผิดกฎหมาย ทั้งๆที่มี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีมากมาย และมือหนึ่งทางกฎหมายตั้งหลายคนช่วยงาน ถ้าดู wordings ในมติ ครม.ดังกล่าว ก็แสดงว่าการขายหวยบนดิน ดีและถูกฎหมาย แล้วเป็นไงละครับ ตรรกะแบบที่ 1 นี้เชื่อได้แค่ไหน

กล่าวโดยสรุปอย่างตรงไปตรงมา ตรรกะแบบที่ 1 นี้ เป็น “ตรรกะแบบเด็กอมมือ” นั่นย่อมหมายความว่า ถ้าเด็กอมมือเห็นสุนัขกินอึ ก็คงจะกินตามไปด้วย โดยอ้างการเอาอย่างเป็นเครื่องรองรับว่าดีและถูกต้อง ฐานคิดที่รองรับตรรกะเช่นนี้ เป็นฐานคิดที่ขาด Intellectual Skepticism ทางสังคมศาสตร์ มากเกินไปหน่อย เข้าลักษณะทำนอง non-academic way of thinking ซึ่งไม่น่าจะเป็นที่ยอมรับนักในประชาคมวิชาการ

การวิพากษ์ตรรกะประการแรกที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผู้เขียนยังมิได้ถกเถียงในประเด็นที่ว่า การบัญญัติประเภทของมหาวิทยาลัยของรัฐเป็น 2 ประเภทนั้น มุ่งเพื่อการตั้งมหาวิทยาลัยใหม่อย่างเดียว หรือเน้นที่ให้แปลงรูปมหาวิทยาลัยเก่าที่มีอยู่เดิม หากมีการถกเถียงประเด็นนี้ คงต้องกลับไปค้นวาระการประชุมของสภาและคณะกรรมาธิการในช่วงเวลาที่ผ่านกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นการค้นหาความจริงย้อนหลังที่น่าสนใจที่เดียว หากมีเวลามากพอและอยู่ในเงื่อนไขที่จะทำได้

วิพากษ์ตรรกะที่ 2

สำหรับตรรกะประการที่ 2 ที่อ้างถึงจำนวนเสียง สนช. ที่ท้วมท้น ในกรณีการผ่านร่างกฎหมายของ ม.มหิดล และ ม.บูรพานั้น คำถามสำคัญก็คือ สนช. เป็นใคร? มาจากไหน? ทำไมต้องถูกเสมอด้วยหรือ? คงไม่ต้องอ้างนะครับว่า สนช. มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้ง เพราะการกล่าวอ้างเช่นนี้เป็นการดึงฟ้าให้ต่ำ ซึ่งไม่บังควรกระทำอย่างยิ่ง คำถามที่ยกขึ้นมาข้างต้นนี้ ต้องการเพียงจะชี้ให้เห็นว่า ตรรกะว่าด้วยจำนวนตัวเลขในกรณีนี้ หาใช่สิ่งยืนยันประการเดียวว่า ดีและถูกต้องเสมอไป ที่กล่าวเช่นนี้ ผู้เขียนต้องการเน้นว่า นายกฯและ ครม.ชุดที่แล้ว ก็มาจากการมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งเช่นเดียวกัน แล้วไงละครับ จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องหมายความต่อไปว่า ทุกสิ่งที่ทำ ดีและถูกต้องเสมอ บัดนี้ ความจริงได้เปิดเผยว่า อดีตนายกฯทักษิณและครอบครัวกำลังถูกตรวจสอบและดำเนินคดีในประเด็นที่ว่า “อาจจะมีการใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ” นโยบายของอดีตนายกฯทักษิณเรื่องหวยบนดินก็ผิดกฎหมายดังที่กล่าวมา อีกทั้ง การแปรรูป กฟฝ. ก็ถูกฟ้องและศาลปกครองวินิจฉัยว่ากระทำผิดขั้นตอนที่กฎหมายระบุ

ความแตกต่างที่สำคัญยิ่ง ระหว่างความบกพร่องและผิดพลาดของ ครม.ทักษิณ กับเรื่องของการผ่าน ร่างกฎหมายมหาวิทยาลัยออกนอกระบบโดย สนช. ก็คือ ความผิดของอดีตนายกฯทักษิณนั้น กฎหมายบ้านเมืองสามารถเอาผิดได้ทั้งทางอาญาและแพ่ง และที่สำคัญก็คือ อดีตนายกฯทักษิณ ต้องเอาอนาคตทางการเมืองของตนเองและพรรคเป็นเดิมพัน โดย Voter ทั้งประทศ เป็นผู้พิพากษาในทางการเมืองอย่างชัดเจน แต่ในกรณีของการผลักดันกฎหมายมหาวิทยาลัยนอกระบบที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองที่มีลักษณะ non-democratic ความผิดพลาดเสียหายที่จะบังเกิดขึ้นต่อการอุดมศึกษาของประทศ อันเนื่องมาจากการทำให้มหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการสิ้นสภาพการเป็นส่วนราชการไป อธิการบดีของแต่ละมหาวิทยาลัยที่ลงชื่อเสนอไป หรือนายกสภามหาวิทยาลัย(ซึ่งมักจะร่วมกันอ้างว่าดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลต่อเนื่องจากช่วงเวลาก่อน ไม่ใช่ตนเองเป็นต้นคิดหรือเจ้าของเรื่อง) หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ซึ่งประกาศว่าไม่ใช่นโยบายของตน แต่เป็นความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยเอง รวมทั้งรัฐบาลก่อนหน้านี้) หรือนายกรัฐมนตรี หรือ สมาชิก สนช.คนไหน กล้าหาญพอที่จะบอกว่าตนเองเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งทางด้านอาญา ทางแพ่ง และทางการเมือง มีไหมครับ

บทสรุปเชิงชี้ชวน

การวิพากษ์ตรรกะทั้ง 2 ประการ เกี่ยวกับการผลักดันกฎหมายให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ นำมาสู่ข้อสรุป ณ จุดนี้ว่า ใครก็ตามที่ใช้ตรรกะทั้ง 2 ประการรองรับการตัดสินใจของตน ค่อนข้างจะอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงเกินไปในการใช้ประโยชน์ที่ล้นเกินจากกระบวนทัศน์ปฏิฐานนิยม(Excess Positivist Attitudes)ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ[ในการศึกษาและวิเคราะห์โลกทางธรรมชาติ(natural world)ที่เกี่ยวกับมวลสาร(mass)และพลังงาน(energy) ซึ่งมีลักษณะคงตัวในทางสังคม(socially static)] มาประยุกต์ใช้ในการพิจารณาโลกทางสังคมที่เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์(human behavior) ซึ่งมีลักษณะพลวัต(socially dynamic)สูงมาก แต่ความสุ่มเสียงนี้ มีได้เกิดผลเฉพาะบนแผ่นกระดาษที่เป็นเอกสารกฎหมายหรือเอกสารทางวิชาการเท่านั้น แต่เป็นความสุ่มเสี่ยงที่มีต้นทุนทางสังคมสูงมาก(high social cost)และสาธารณะเป็นผู้แบกรับทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้(inevitable public burden) ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า การวินิจฉัยเกี่ยวกับกฎหมายออกนอกระบบของมหาวิทยาลัย ไม่สามารถถูกกระทำให้เป็นเพียงการลองผิดลองถูกของใครบางคนหรือหลายคนในวงแคบ(socially unacceptable personal trial and error) แต่เป็นการวินิจฉัยที่อยู่บนฐานของความรับผิดชอบทางจริยธรรม(Ethical Responsibility-based Decision Making)ด้วย จึงมิใช่เรื่องที่ต้องรวบรัด รีบเร่ง และถือเอาเสียงข้างมากของ สนช.เป็นเครื่องชี้ขาดเพียงประการเดียว


ร่าง พ.ร.บ. มศว(นอกระบบ) กับ “ปรากฏการณ์อีแอบ 4 มิติ”
สุรพล จรรยากูล Ph.D.
ภาควิชาสังคมวิทยา
มศว ประสานมิตร
………………………………………
การเกิดขึ้นของ ร่าง พ.ร.บ. มศว(นอกระบบ) และการนำเสนอ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวสู่กระบวนการด้านนิติบัญญัติในปัจจุบัน ในยุคของรัฐบาล(ครม.)และรัฐสภา(สนช.)ภายใต้ คมช.สะท้อนสิ่งที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์ อีแอบ 4 มิติ” หรือ “อีแอบ จตุลักษณ์” ในที่นี้ “อีแอบ” คือ “E-AAb” ซึ่งย่อมาจากคำว่า Educational-Academic Abnormality

-มิติที่ 1 คือ อีแอบทางการบริหาร(Administrative Abnormality)
สะท้อนจากปรากฏการณ์ Lack of Full Participation ของ Overall Organizational Members ใน Academic Community หรือ Overall Organizational Stakeholders

-มิติที่ 2 คือ อีแอบทางสังคม(Social Abnormality)
สะท้อนจากภาพของ Insufficient Participation ของ Social Community of Tax Payers ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

-มิติที่ 3 คือ อีแอบทางการเมือง(Political Abnormality)
สะท้อนจากภาพของการเป็นนักฉวยโอกาสทางการเมือง(political opportunist) ของบรรดาอธิการบดี(และคณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง) และนายกสภามหาวิทยาลัย(รวมทั้งบรรดากรรมการสภามหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง) ที่นำเสนอ ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ในบริบททางการเมืองปัจจุบันที่มีลักษณะ Non-Democratic ในทำนองเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็ฉวยโอกาสทางการเมืองภายใต้บริบทเดียวกัน โดยการ “โยนกลอง” ว่าเป็นความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยเอง และรัฐบาลชุดก่อน และ สนช. ก็ฉวยโอกาส “โยนกลอง” เช่นกัน ว่าเป็นความรับผิดชอบของมหาวิทยาลัยโดยตรง ไม่ใช่รัฐบาลชุดปัจจุบันเช่นกัน
กล่าวเฉพาะในส่วนของมหาวิทยาลัย ปรากฏการณ์ในมิตินี้ สะท้อนให้เห็นแก่นแท้และตัวตนของของคณะผู้บริหาร ที่เป็นเพียง “ปุถุชนที่ถูกเชิด แต่ขาดวุฒิภาวะทางการเมืองตามแนวทางประชาธิปไตย” ได้อย่างชัดเจน อาจกล่าวได้ว่า เป็นภาพของ “อีแอบทางด้านจิตลักษณ์ของผู้บริหารมหาวิทยาลัย”(University Administrator’s Mentality Abnormality)

-มิติที่ 4 คือ อีแอบทางสติปัญญา(Intellectual Abnormality)
มิตินี้สะท้อนถึง Fundamental Intellectual Crisis ของ มศว ที่ได้รับการยอมรับมานานว่าเป็นเอตะทักคะทางวิชาการด้านศึกษาศาสตร์ ทั้งในมิติทางด้านปรัชญา ทฤษฎี และการวิจัย เพราะมีความเชื่อและบทสรุป(ตามๆกันมา อย่างซื่อๆ)ว่า การที่ มศว เป็นส่วนราชการ เป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่สภาวะ Impasse หรือ Deadlock และเชื่อต่อไปอีกว่า “การล้มล้างสภาวะการเป็นส่วนราชการของ มศว” (ซึ่งผู้เขียนขอย้ำและท้าทายให้คิดกันหนักๆว่า เป็นคนละประเด็นกับ “สภาวะการติดยึดกับระเบียบราชการใน มศว”) คือทางออกที่จำเป็นต้องเลือกในเชิงโครงสร้าง(Structural Imperative) จริงๆแล้ว น่าสงสัยว่า นี่คือ ภาพของสภาวะสิ้นไร้ไม้ตรอกในทางสติปัญญา(Intellectual Impasse)ของคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยใช่หรือไม่ ?????


มาร่วมกันสร้าง Solidarity & Wisdom-Based University(SWU) ก่อนออกนอกระบบ กันดีไหม
สุรพล จรรยากูล Ph.D.
สังคมวิทยา มศว ประสานมิตร
………………………………………

Solidarity
-Love
-Compassion and Loving-Kindness
-Respect for Each Other
-Mutual Trust
-Active Participation
-Sense of Belonging
(บางคนกล่าวว่า ถ้าออกนอกระบบเมื่อไร ผมก็โอนไปส่วนราชการอื่นทันที)
-Social Intimacy
-Less Administrative Distance

Wisdom
-Broad-Mindedness
-Open to Criticism at All Level
-Academic Freedom
-Intellectual Consciousness in Academic Administration
-Periodic and Continuing Intellectual and Academic Dialogue and Debate
-Lively Academic Atmosphere
-Open to Public Involvement in Academic Affairs
-Textual Knowledge-Social Relevance Integration

ข้อควรระวัง “2 I ไป 2 D”

I ที่ 1 คือ Ignorance (ความเขลา)
I ที่ 2 คือ Indifference (ความไม่ใส่ใจ)
D ที่ 1 คือ Disaster (หายนภัย)
D ที่ 2 คือ Death (การสิ้นชื่อ)


การบริหาร มศว และกระบวนการ ร่าง พ.ร.บ. มศว(ออกนอกระบบ) ที่ผ่านมา
สุรพล จรรยากูล Ph.D.
สังคมวิทยา มศว ประสานมิตร
……………………………
1.การทำงานให้สำเร็จ ---------à 4 M
-Man àใน มศว มีบุคลากรระดับ ป.โท และ ป.เอก มากมาย สิ่งนี้ เป็น Personnel Potential ของ มศว
-Materials
-Money
-Management----- à มศว มีองค์ความรู้ และนักวิชาการทางด้านการบริหารการศึกษา และการบริหารทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ สิ่งนี้ เป็น Intellectual Strength ที่สำคัญ

2.ความล้มเหลวในการทำงานเกิดจาก M ตัวที่ 5/1 คือ “MAGIC” ซึ่งปกติแล้ว แปลว่า การเล่นมายากล
M - Manipulation, Manual Power(เซ็นชื่อสั่งการ) ฯลฯ
A - Autocracy(An absolute government by one man, despotism),Avoidance, Awkwardness (being difficult to deal with)
G - Germination of dissatisfaction, anger and conflict
I - Ignorance, Interference and Intimidation
C – Control and Centralization

3.การทำงานสำเร็จด้วย 4 M จะยั่งยืนและเกิดประโยชน์ต่อทุกคนในองค์การและสังคมส่วนรวม ต้องใช้ M ตัวที่ 5/2 คือ “MIRACLE” ซึ่งปกติแล้ว แปลว่า ความมหัศจรรย์
M - Moral courage, Mutual learning, Mutual Understanding, Mutual Responsibility, Mobilization of moral power, Mindfulness and Mental Maturity and Development
I - Intelligence and Intellectual Stimulation
R - Rendering Services, Release of Imagination and Creativity
A - Activation of Participation
C - Compassion and Contribution
L - Love and Loving-kindness
E - Enthusiasm, Encouragement of Synergy and Equity

4. การใช้ M ตัวที่ 5/1 นั้น มักจะเกิดขึ้นในเกมของผู้บริหาร ซึ่งเน้นแต่ “ประโยชน์ตน” เพียงประการเดียว ซึ่งหาเพียงพอไม่ตามหลักพุทธธรรม

5.การใช้ M ตัวที่ 5/2 มักเป็นไปเพื่อ “ประโยชน์ท่าน” และ “ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน” อย่างกลมกลืนและแนบเนียน บนหลักสันติธรรม


คำถามสำคัญเรื่อง มศว ออกนอกระบบราชการ
สุรพล จรรยากูล Ph.D. สังคมวิทยา มศว ประสานมิตร
……………………………

คำถามที่ 1: สิ่งที่ท่านอธิการบดีเรียกว่า “Autonomous University” ตั้งอยู่บนรากฐานของ Philosophy of Democracy หรือ Philosophy of Authoritarianism และเป็นสิ่งเดียวกับที่ ดร.วิชัย ตันศิริ กล่าวถึงในบทความใน น.ส.พ.มติชน หรือไม่

คำถามที่ 2: ดร.วิชัย ตันศิริ เสนอว่า คณาจารย์ใน “Autonomous University” ไม่ควรมีสถานภาพเป็น “พนักงาน” ท่านอธิการบดีมีความเห็นต่อประเด็นดังกล่าวอย่างไร และเพราะเหตุใด จึงกำหนดให้ “พนักงาน” เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ขณะที่ “ข้าราชการ” และ “ลูกจ้าง” มีสถานภาพเป็นเพียง “พลเมืองชั้น 2” ใน มศว นอกระบบราชการ

คำถามที่ 3: ท่านอธิการบดีใช้ทฤษฎีหรือหลักวิชาการอะไร ในสาขาวิชาการใด เป็นกรอบอ้างอิงหรือเป็นรากฐานของ “การออกนอกระบบราชการ” ของ มศว ตามร่าง พ.ร.บ. นี้

คำถามที่ 4: ปัญหาสำคัญๆของ มศว ที่เป็นส่วนราชการในปัจจุบัน มีอะไรบ้าง ที่ทำให้ท่านอธิการบดีคิดว่า ไม่สามารถแก้ไขได้ หรือไม่มีทางออกอีกแล้วในระบบราชการ จึงต้อง “ออกนอกระบบราชการ” เพียงหนทางเดียว และปัญหาเหล่านั้น ท่านเคยนำเสนอต่อประชาคม มศว ในวงกว้าง หรือเคยเปิดโอกาสให้ประชาคม มศว ได้ร่วมกันพิจารณาหาทางออกร่วมกับท่านหรือไม่ ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วยการออกนอกระบบราชการ

คำถามที่ 5: การที่ท่านอธิการบดี(และรองอธิการบดีทั้งหลาย) มีความก้าวหน้าในชีวิตราชการ จนมีตำแหน่งเป็น ศ. รศ. และ ผศ. อยู่นี้ มิได้เป็นอานิสงส์มาจากระบบราชการเลยหรือ หรือว่า เป็นเพียง “ความวิเศษเฉพาะตัว” ของท่านและคณะผู้บริหารเท่านั้น
คำถามที่ 6: แนวคิดเรื่อง “Autonomous University” นั้น มีมาก่อนหน้านี้แล้วประมาณ 30 ปี ในฐานะที่เป็นปฏิกิริยาเชิงอุดมคติที่บริสุทธิ์ของคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย ในการตอบโต้กับการครอบงำและการปิดกั้นความเป็นอิสระและเสรีภาพทางวิชาการโดยกลุ่มอำนาจเผด็จการทหารในอดีต แล้ววันนี้ บทบัญญัติต่างๆในร่าง พ.ร.บ. มศว เป็นไปเพื่ออุดมคติชุดเดียวกันหรือ
หากเป็นเรื่องเดียวกันแล้ว เหตุใด (1)จึงมีบทบัญญัติที่รวมศูนย์อำนาจให้แก่สภามหาวิทยาลัยและอธิการบดี จนมีลักษณะเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเกือบทุกเรื่อง (2)จึงไม่เน้นความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาคม(คณาจารย์ บุคลากรสนับสนุน นิสิตและชุมชนรอบข้าง) ในกระบวนการบริหารจัดการของ มศว (3)จึง “ฉวยโอกาส” เสนอร่าง พ.ร.บ.นี้กลับไปสู่รัฐบาล เพื่อเสนอต่อ สนช. อย่างเร่งรีบ ทั้งๆที่สามารถปฏิเสธได้ บนหลักการที่ว่า ทั้ง ครม. และ สนช. มิใช่องค์การบริหารและองค์การนิติบัญญัติ ที่เกิดจากระบอบประชาธิปไตย และ (4)ขณะที่ แนวคิดเรื่อง “Autonomous University” เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว ซึ่งเน้นการปลดปล่อย(หรือปลดแอก)ทางวิชาการ(academic liberation)ของมหาวิทยาลัย จากการกดขี่ข่มเหงของกลุ่มอำนาจเผด็จการทหาร แต่ทว่า ในร่าง พ.ร.บ. มศว กลับพลิกผันและแปลงรูปการกดขี่ข่มเหงจากภายนอกกลายเป็นการกดขี่ข่มเหงจากภายใน มศว เอง ด้วยอำนาจของสภา มศว และคณะผู้บริหาร มศว (ขออภัย พูดให้ชัดๆด้วยภาษายุคพ่อขุนรามคำแหง ดังนี้ มึงพูดถึง “มือมาร” แล้วมึงก็เปลี่ยน “มือมาร” มาเป็น “มือมึง” แทนเสียเอง โถ!!! ไอ้จอมปลอม ไอ้โคตรโกง)

คำถามที่ 7: ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร อดีตอธิการบดี มจธ.(ปัจจุบัน ตัวจริงเลขาธิการ สกอ.) ผู้เลื่อมใสศรัทธาและคลั่งไคล้เรื่องมหาวิทยาลัยออกนอกระบบราชการมาก เพราะท่านเป็นนักเรียนเก่าอังกฤษ(ถ้าจำไม่ผิด ก็คือ มหาวิทยาลัย Glasglow) แต่เพราะเหตุใด (1)ท่านจึงเขียน พ.ร.บ. มจธ.(ขออภัย ถ้าท่านไม่มีส่วนเลย) ให้ตัวท่านเองกลับมาเป็นข้าราชการได้อีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่ท่านเป็นพนักงานในตำแหน่งอธิการบดีมาแล้ว มันจะไม่เป็นการใช้ “บทเฉพาะกาล” เพื่อ “เฉพาะกู” จนออกนอกหน้า มากเกินไปดอกหรือ (2)การกระทำของท่านจึงดูขัดแย้งกับข้อเสนอที่ว่า “พนักงาน” จะทำงานได้ “ดีกว่า” ข้าราชการ เพราะสุดท้ายแล้ว ท่านก็ยังคงเลือกที่จะเป็นข้าราชการอยู่เหมือนเดิม(แล้วก็ยังกลับมามีตำแหน่งใหญ่โตใน สกอ. อีกจนได้) และ (3)ความคิดของท่านในฐานะนักเรียนเก่าอังกฤษ จึงแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับข้อเสนอของ ดร.วิชัย ตันศิริ ซึ่งเป็นนักเรียนเก่าอังกฤษเช่นกัน ถ้าเช่นนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเคลือบแคลงสงสัยว่า “การออกนอกระบบราชการ” ตามคติของเลขาธิการ สกอ.คนปัจจุบัน ดูจะกลายเป็น “ทฤษฎีส่วนบุคคล” เสียมากกว่า แล้วประชาคมวิชาการ มศว จะยอมรับได้หรือ เหตุใดชาว มศว จึงต้องคิดว่า มจธ. เป็นตัวอย่างแห่งความสำเร็จ ทั้งๆที่มีข้อเคลือบแคลงน่าสงสัยทางวิชาการดังที่กล่าวมา

คำถามที่ 8: ท่านอาจารย์ น.พ.วิทูร อึ้งประพันธ์ เขียนไว้ในบทความใน น.ส.พ.มติชน ว่า ถ้าการออกนอกระบบมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของการกำหนดค่าตอบแทนผู้บริหารให้สูงขึ้น และคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ ก็เป็นคนกลุ่มเดิมๆหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปมาระหว่ามหาวิทยาลัยแล้ว การออกนอกระบบ ก็เป็นเพียงการแปรรูปเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนเท่านั้น ซึ่งท่านใช้คำว่า Privatization โดยตรง มศว เป็นข้อยกเว้นหรือไม่ และในมหาวิทยาลัยอื่นไม่เหมือนของ มศว หรือ ถ้าเป็นดังเช่นที่อาจารย์ น.พ.วิทูร กล่าวไว้ มศว กำลังทำอะไรกันอยู่ ผมเกรงว่า “การปล้นชาติรูปแบบใหม่ผ่านช่องทางการศึกษา” เป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอยู่มากที่เดียว

คำถามที่ 9: มศว และมหาวิทยาลัยส่วนราชการอื่นๆ ต่างกล่าวอ้างถึงการออกนอกระบบราชการ เพื่อรองรับการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งภายในและภายนอกประเทศ แต่โดยข้อเท็จจริง กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนมาก กลับดำรงตำแหน่งในหลายมหาวิทยาลัยในเวลาเดียวกัน เรื่องนี้จะอธิบายให้เป็นที่ยอมรับในทางวิชาการได้อย่างไร ในเมื่อกรรมการสภามหาวิทยาลัยเหล่านั้น ต่างอ้างว่าตนเองกำลังทำหน้าทีเพื่อประโยชน์สูงสุดของมหาวิทยาลัยนั้นๆอยู่(แต่หลายมหาวิทยาลัย ในเวลาเดียวกัน!!!) ผมไม่อยากนึกถึงสุภาษิตไทยโบราณเกี่ยวกับ “นกสองหัว” หรือว่า “”มหาสองราง” หรือแม้แต่ “จับปลาสองมือ” เลย เพราะมันรู้สึกเศร้าสลดยังไงชอบกล



การออกนอกระบบของ มศว เป็นมิจฉาทิฐิ ???
สุรพล จรรยากูล Ph.D.
สังคมวิทยา มศว ประสานมิตร
……………………………

มิจฉาทิฐิ (Wrong view: WV) 9 ประการ เกี่ยวกับการออกนอกระบบราชการของ มศว

ประการที่ 1
การรวมอำนาจตัดสินใจแบบเบ็ดเสร็จ(Comprehensive centralization) ทั้งทางด้านนิติบัญญัติ(legislative) ทางด้านบริหาร(administrative) และทางด้านตุลาการ(judicial) ไว้ที่สภามหาวิทยาลัย(สภา มศว)และคณะผู้บริหาร(โดยเฉพาะ อธิการบดี) จะนำไปสู่ ความคล่องตัว ในการบริหารจัดการ มศว ของสภา มศว และคณะผู้บริหาร มศว

ประการที่ 2
ความคล่องตัวในการบริหารจัดการของสภา มศว และคณะผู้บริหาร มศว ตาม WV 1 จะทำให้ มศว สามารถหารายได้(income generation) โดยผ่านกิจกรรมทางด้านวิชาการ(academic activities) และ ที่มิใช่ด้านวิชาการ(non-academic activities) สะดวกขึ้นและมีจำนวนมากขึ้น

ประการที่ 3
การหารายได้เข้า มศว ที่สะดวกขึ้นและจำนวนมากขึ้น ตาม WV 2 จะทำให้สภา มศว และคณะผู้บริหาร มศว สามารถกำหนดค่าตอบแทนที่สูงขึ้น(higher wages) ในการจ้าง(employment)พนักงานของ มศว

ประการที่ 4
การที่สภา มศว และคณะผู้บริหาร มศว สามารถกำหนดค่าตอบแทนที่สูงขึ้น ในการจ้างพนักงานของ มศว ตาม WV 3 จะทำให้พนักงานของ มศว มีแรงจูงใจมากขึ้น(more motivated)ในการทำงาน(performance) ทั้งทางด้านวิชาการและที่มิใช่ด้านวิชาการ

ประการที่ 5
ความคล่องตัวในการบริหารจัดการของสภา มศว และคณะผู้บริหาร มศว ตาม WV 1 จะทำให้ มศว สามารถกำหนดระบบการประเมินพนักงาน(employee’s performance assessment and evaluation system) ระบบการลงโทษ(punishment system) และการเลิกจ้างงาน(employment termination) ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น(more efficient)

ประการที่ 6
ระบบการประเมินพนักงาน ระบบการลงโทษ และการเลิกจ้างงาน ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตาม WV 5 จะทำให้พนักงานของ มศว ทำงานอย่างกระตือรือร้นมากขึ้น ทั้งทางด้านวิชาการและที่มิใช่ด้านวิชาการ

ประการที่ 7
แรงจูงใจที่มากขึ้น ตาม WV 4 และ ความกระตือรือร้นมากขึ้นในการทำงาน ตาม WV 6 ทั้งทางด้านวิชาการและที่มิใช่ด้านวิชาการ จะทำให้การปฏิบัติภารกิจสำคัญทั้ง 4 ประการ(การสอน/การผลิตบัณฑิต การวิจัย การบริการชุมชน และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม) และภารกิจสนับสนุนอื่นๆของ มศว มีประสิทธิผลมากขึ้น(more effective)

ประการที่ 8
ประสิทธิผลตามภารกิจของ มศว ที่เกิดขึ้น ตาม WV 7 จะทำให้ มศว สามารถสนองประโยชน์ของสาธารณะ(public interests) ได้มากขึ้น

ประการที่ 9
อำนาจรวมศูนย์ของฝ่ายบริหาร ตาม WV 1 ประการหนึ่ง แรงจูงใจทางด้านค่าตอบแทนสำหรับพนักงาน ตาม WV 4 ประการหนึ่ง และ ระบบประเมินพนักงาน การลงโทษ และการเลิกจ้างงาน ตาม WV 6 เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งยวด(vitally critical factors)ในการบรรลุวัตถุประสงค์(academic breakthrough)ของ มศว ในฐานะที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาชั้นสูง

Underlying Logical Reasoning of Transforming SWU into “Autonomous University”
OR
POSITIVIST MYTHS OF “PARTIAL PRIVATIZATION” of SWU into “AUTOCRATIC UNIVERSITY”????

(1) WV 1 ----àWV 2 -----àWV 3 -----à WV 4
(2) WV 1-------------------------------------------à WV 5 -------àWV 6
(3) WV 4 + WV 6 -----àWV 7
(4) WV 7 ----àWV 8
(5) WV 1 + WV 4 + WV 6 ----------------------------àENLIGHTENED SWU !!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น