วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตักน้ำใส่กระโหลก ชะโงกดูเงา มศว

ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา มศว:
ล้อ มศว คิดต่อจากอาจารย์ประเวศ[1]

1.ความนำ
ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม 2550 หน้า 7 ตีพิพม์บทความของท่านศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ วะสี หนึ่งในสามของกลุ่มราษฎรอาวุโส เรื่อง “เอาอนาคต มาดึงเราออกจากวิกฤตการณ์ปัจจุบัน” สำหรับผู้เขียนเองแล้ว ผู้เขียนเห็นว่าบทความนี้เป็นบทความที่มีคุณค่ามาก ในการกระตุ้นความคิดและยั่วยุให้เกิดการกระทำตามมาอย่างเป็นรูปธรรมสำหรับผู้อ่าน หรือผู้เกี่ยวข้องกับการสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เหตุที่ผู้เขียนอ้างถึงบทความของอาจารย์ประเวศ ในฐานะเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนบทความนี้ มีเหตุจูงใจบางประการ ดังต่อไปนี้
ประการแรก ผู้เขียนนิยมและชื่นชอบผลงานด้านความคิด ของท่านอาจารย์ประเวศมาเป็นเวลานานพอสมควร ในฐานะที่อาจารย์ประเวศเป็นแพทย์ อาจารย์ประเวศได้นำเสนอบทวิเคราะห์ และบทวิพากษ์ปรากฏการณ์ทางสังคม ด้วยมุมมองและกระบวนทัศน์ที่แตกต่างไปจากนักสังคมศาสตร์จำนวนมากในวงวิชาการของไทย นอกจากนี้ อาจารย์ประเวศยังได้นำเสนอข้อเสนอแนะบนฐานคิดที่ลึกซึ้ง แต่ไม่ยากเกินกว่าจะปฏิบัติได้ ทั้งสำหรับปัจเจกบุคคล กลุ่ม องค์กร หรือ แม้แต่สถาบันของรัฐ รวมไปถึงตัวรัฐบาลเองด้วย
ประการที่สอง ประเด็นหลักสำคัญประการหนึ่ง ที่อาจารย์ประเวศนำเสนอในบทความดังกล่าว ก็คือ เรื่องของการสานพลังสร้างสรรค์ขององค์การ เข้ากับเป้าหมายขององค์การ จนนำไปสู่ความสำเร็จที่ทุกฝ่ายพึงใจ
ประการที่สาม อาจารย์ประเวศดำรงตำแหน่งกรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิในสภา มศว ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของผู้เขียนโดยตรง ดังนั้น มิติด้านความเกี่ยวเนื่องทางความคิดของอาจารย์ประเวศที่มีต่อ มศว น่าจะเป็นมิติที่ควรพิจารณาให้ละเอียดต่อเนื่องกันไป จนเกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติตามมา
ประการที่สี่ กระบวนการสรรหาอธิการบดี มศว ในฐานะผู้นำสูงสุดด้านการบริหารขององค์การ เพิ่งจะเสร็จสิ้นในวันที่ 1 มิถุนายน 2550 โดยสภา มศว มีมติเรียบร้อยแล้วในการรับรองบุคคลเป็นอธิการบดีของ มศว ในระยะ 4 ปีข้างหน้า
ประการที่ห้า อาจารย์ประเวศเป็นหนึ่งในเก้าของคณะกรรมการสรรหาอธิการบดี มศว
เหตุผล 5 ประการที่กล่าวมา กระตุ้นให้ผู้เขียนเกิดความอยากรู้ว่า ความคิดที่อาจารย์ประเวศเสนอไว้ในบทความดังกล่าว ช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ของ “การนำการปลี่ยนแปลง” ใน มศว ได้มากน้อยเพียงใด

2.วัตถุประสงค์ของบทความ
ผู้เขียนบทความนี้ ไม่มีเจตนาใดๆในทางร้ายกับอาจารย์ประเวศ แม้เพียงประการเดียว หากแต่บทความของอาจารย์ประเวศเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่กระตุ้นทางความคิดให้ผู้เขียนอยากแสวงหาคำตอบว่า
(1)ปรากฏการณ์ “การได้มาซึ่งผู้นำและการจัดทำวิสัยทัศน์ขององค์กร”ใน มศว เป็นเช่นไร และการมองผ่านกรอบคิดของอาจารย์ประเวศ ช่วยให้เห็นอะไรได้บ้างในกระบวนการดังกล่าวขององค์การ ซึ่งในที่นี้ คือ มศว
(2)ทิศทางข้างหน้าของ มศว น่าจะเป็นเช่นไร หากเราน้อมนำเอาข้อเสนอของอาจารย์ประเวศมาพิจารณาอย่างจริงจัง

3.ข้อคิดและข้อเสนอของอาจารย์ประเวศ
สิ่งที่อาจารย์ประเวศนำเสนอไว้เป็นข้อคิดที่มีคุณค่ามากมีหลายประการ ที่สำคัญยิ่งที่ผู้เขียนสามารถเห็นได้ชัด 2 ประการ มีดังต่อไปนี้
ประการแรก อาจารย์ประเวศ ชี้ให้เห็นว่า การแก้ปัญหาไม่ใช่ความหมายที่แท้จริงของการพัฒนา เพราะการมุ่งประเด็นการพัฒนาไปที่การแก้ปัญหาเป็นการเฉพาะในลักษณะ “ทุ่มหรือหมกมุ่นจนหมดตัว” เพราะนอกจากจะ“ทำให้แก้ไขได้ยากหรือแก้ไขไม่ได้ และยิ่งแก้ยิ่งทะเลาะกันมากขึ้น เพราะคนที่เกี่ยวข้องจะโทษกันไปโทษกันมา”แล้ว ผลที่ตามมาก็คือ ภาวะของการ“ติดอยู่ในกับดักของการแก้ปัญหา” และ“ติดอยู่กับวิกฤตการณ์อันเป็นปัญหาของอดีตและปัจจุบัน จนมองอนาคตไม่เห็น”
ประการที่สอง อาจารย์ประเวศต้องการวิพากษ์ทัศนะเดิมๆที่มองว่า “ประเทศไทยนั้นยากจน คนไทยเป็นคนไม่เก่ง เป็นคนไม่ดี ไม่มีทางพึ่งตนเองได้ ต้องพึ่งผู้อื่นอยู่ร่ำไป” อาจารย์ประเวศชี้ให้เห็นอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องของทรัพยากรและคน ซึ่งต้องการการพิจารณาด้วยจินตนาการใหม่และมุมมองใหม่
ในเรื่องที่เกี่ยวกับทรัพยากรของประเทศนั้น อาจารย์ประเวศนำเสนอ ดังนี้
“มุมมองใหม่ ประเทศไทยร่ำรวยด้วยทรัพยากรหรือทุนต่างๆมากมาย ทั้งทุนทางทรัพยากรธรรมชาติ ทุนมนุษย์ ทุนทางสังคม ทุนทางศาสนธรรมและอื่นๆ เกินพอที่จะ สร้างการมีอยู่มีกินสำหรับทุกคน และบ้านเมืองมีอนาคตได้ไม่ยาก ถ้าเรามีจิตนาการใหม่ร่วมกัน”
ในส่วนที่เกี่ยวกับคนก็เช่นเดียวกัน อาจารย์ประเวศนำเสนอแง่คิดที่ต่างออกไปจากเดิม โดยพิจารณาจากสิ่งที่เรียกว่าความรู้เป็นสำคัญ ดังนี้
“มุมมองใหม่ในเรื่องคน มุมมองเก่าคนไทยไม่เก่ง มีการศึกษาน้อย พัฒนาได้ยาก นั่นเกิดจากเรามองความรู้ประเภทเดียว คือความรู้ในตำรา ความรู้มี 2 ประเภท คือ ความรู้ในตำรากับความรู้ในตัวคน ความรู้ในตัวคน เช่น ความรู้ในการทำก๋วยเตี๋ยว ในการทำไร่ ทำนา ทำสวน ในการก่อสร้าง ในการทำมาค้าขาย ในการทำกับข้าว ในการเลี้ยงลูกฯลฯ ความรู้ในตัวคนเป็นความรู้ที่ฝังแน่น เพราะได้มาจากประสบการณ์ชีวิตและการทำมากับมือ เพราะความรู้ในตัวนี่แหละ แม่จึงเป็นครูที่ดีที่สุดของลูกทุกคนโดยไม่คำนึงถึงการศึกษาของท่าน โยมแม่ของอาจารย์พุทธทาสไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย แม่ของอาจารย์ป๋วยไม่เคยเข้าโรงเรียนเลย แต่เป็นครูที่ยิ่งใหญ่ของลูก
ความรู้ในตัวคนกับความรู้ในตำรามีความสำคัญทั้งคู่ แต่มีที่มาและความหมายต่างกัน ความรู้ในตัวคนมีฐานในวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรม แต่ความรู้ในตำรามีฐานในวิทยาศาสตร์ ความรู้ในตำรามีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ แต่ความรู้ในตัวคน ทุกคนมี ถ้าเราเคารพเฉพาะความรู้ในตำรา คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีเกียรติ คนส่วนใหญ่จะไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีความมั่นใจในตนเอง และรวมกันเป็นความไม่มั่นใจแห่งชาติ ชาติหมดกำลังลง
แต่ถ้าเราเคารพความรู้ในตัวคน คนทุกคนจะมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความมั่นใจในตัวเอง รวมกันเป็นความมั่นใจแห่งชาติ คนไทยทั้งหมดจะเป็นพลังในการพลิกฟื้นแผ่นดิน และจะเปลี่ยนแนวทางการศึกษา และแนวทางการพัฒนาที่จะสร้างความร่มเย็นเป็นสุขในเวลามิช้าเลย”
สำหรับในส่วนของข้อเสนอแนะนั้น อาจารย์ประเวศได้นำเสนอไว้อย่างกระทัดรัด ชัดเจน และตรงไปตรงมา ผู้เขียนเห็นว่ามีข้อเสนอแนะที่สำคัญ 3 ประการ ดังต่อไปนี้
ประการแรก อาจารย์ประเวศเสนอว่า “ควรจะใช้อนาคต มาดึงเราออกจากวิกฤตการณ์ปัจจุบัน”(ซึ่งคล้ายกับชื่อของบทความที่กล่าวถึงในตอนต้น) เพราะหากว่า“อนาคตยังไม่เกิด จะมีพลังมาฉุดเราออกจากปัจจุบันได้อย่างไร” อาจารย์ประเวศ อ้างอิงถ้อยคำของนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงก้องโลก เพื่อสนับสนุนข้อคิดดังกล่าว ดังนี้
“อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ กล่าวว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” เพราะความรู้มีข้อจำกัดว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่ได้ แต่จินตนาการไม่มีข้อจำกัด สามารถไปได้ไกลสูงสุด”
อาจารย์ประเวศย้ำว่า “จินตนาการไปในอนาคตให้แรง จะเกิดพลังฉุดมหาศาล ฉุดเราออกจากปลักอันหมักหมมของอดีตและปัจจุบัน” ที่เป็นดังนี้ เป็นเพราะว่า“การมีจินตนาการใหม่ มุมมองใหม่ ทำให้เรากล้าที่จะสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมที่จะทำให้เกิดพลังมหาศาลที่จะดึงเราไปในอนาคต”
ประการที่สอง จากข้อเสนอแนะเชิงฐานคิดดังที่เพิ่งกล่าวมาข้างต้น อาจารย์ประเวศมีข้อเสนอที่สืบเนื่องสำหรับการพัฒนาประเทศ ดังนี้ “การสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วม คือการสร้างพลังมหาศาลในการเคลื่อนไปข้างหน้า” และในการนี้ สิ่งที่ควรต้องทำอย่างยิ่งก็คือ “เราควรพูดคุยสื่อสารกันทั้งแผ่นดิน เพื่อสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมของประเทศไทย..... เป้าหมายและวิสัยทัศน์จะต้องสูงพอที่ทุกคนจะเห็นร่วมกันได้หมด เช่น ร่วมสร้างสังคมไทยที่ลูกหลานของเราจะอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสุข”
และเพื่อให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขจริงๆ อาจารย์ประเวศเสนอแนะต่อไปอีกว่า การดำเนินการในการพัฒนาต่างๆในระดับประเทศ ควรเชื่อมโยงกับรากฐานที่สำคัญยิ่ง 3 ประการ กล่าวคือ (1)การมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่ (2)ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง และ (3)ความเป็นประชาสังคม เพราะทั้ง 3 เรื่องนี้ “เป็นรากฐานของความเป็นธรรม ประชาธิปไตย สันติภาพ และความร่มเย็นเป็นสุข”
อาจารย์ประเวศชี้ว่า การพัฒนาในอดีตไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่เชื่อมโยงกับรากฐานของความร่มเย็นเป็นสุข หากมีการเชื่อมโยงอย่างถูกต้อง สิ่งที่ตามมาก็คือ “ความงอกงามลงตัว ก็จะเกิดขึ้นโดยเร็ว” จุดเน้นของอาจารย์ประเวศในเรื่องนี้ ก็คือ
“สำหรับประเทศ เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ในการเป็นผู้นำคนทั้งประเทศมาร่วมสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของประเทศ....และเมื่อคนไทยทั้งประเทศร่วมสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมของประเทศ ประเทศไทยจะเกิดพลังมหาศาลหลุดจากวิกฤตการณ์ปัจุบัน ไปสู่อนาคตที่ร่มเย็นเป็นสุขโดยไม่ยากเลย”
ประการที่สาม ในระดับองค์การ อานิสงส์จากสิ่งที่อาจารย์ประเวศนำเสนอไว้มีความชัดเจนอย่างยิ่ง สิ่งนี้ก็คือ “การรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดี” เหตุผลสำคัญในเรื่องนี้ ก็คือ
“การรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดีนั้นง่ายกว่าและทำให้รักกันมากขึ้น การทำสิ่งใหม่ที่ดี มีความสำเร็จง่ายกว่า เมื่อสำเร็จแล้วก็เกิดความปีติร่วมกัน ชื่นชมยินดีนร่วมกัน ทำให้รักและเชื่อถือไว้วางใจกัน(trust)
ความเชื่อถือไว้วางใจกันเป็นทุนสำหรับการพัฒนาอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ทำอะไรๆสำเร็จได้ง่าย รวมทั้งสิ่งยากๆที่แก้ไม่ได้ท่ามกลางความไม่เชื่อถือไว้วางใจกัน
ความเชื่อถือไว้วางใจกันนี้ เงินเท่าไรๆก็ซื้อไม่ได้ แต่เกิดจากการรวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดี การแก้ปัญหาเก่านั้น ทำให้สะดุ้ง หวาดกลัว หวั่นระแวง ไม่เชื่อถือไว้วางใจกัน หรือแตกแยกกันมากขึ้น และอาจนำไปสู่ความรุนแรง”
และที่สำคัญยิ่งก็คือ
“ถ้าเราทำโดยเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคนทุกคน โลกจะเปลี่ยน เราจะเปลี่ยนจากนรกเป็นสวรรค์ค่อนข้างจะฉับพลันทันที”
คงจะไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนแต่ประการใด หากจะกล่าวว่า ในทัศนะของอาจารย์ประเวศแล้ว การรวมตัวกันดังกล่าวจะเชื่อมโยงกับพลังสร้างสรรค์อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่เป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วม ความรับผิดชอบ และการทำงานด้วยฉันทะ ดังที่เราสามารถจะเข้าใจได้อย่างไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย จากข้อความที่อาจารย์ประเวศเขียนไว้ ดังนี้
“องค์กรใดองค์กรหนึ่งจะเกิดพลังสร้างสรรค์มหาศาล เมื่อมีการสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมขององค์กร ประธานบริหารขององค์กร(ซีอีโอ)ต้องเป็นผู้นำให้สมาชิกขององค์กรสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วม เมื่อสมาชิกได้มีส่วนร่วมในการสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ พฤติกรรมในองค์การจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผู้คนจะรักองค์กร รักกันเองและร่วมกันทำงาน โดยหัวหน้าไม่ต้องไปจ้ำจี้จ้ำไช หัวหน้าไม่ได้มีหน้าที่จ้ำจี้จ้ำไช แต่มีหน้าที่นำให้เกิดการสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วม”

4.ชะโงกดูเงา มศว
วันที่ 27 มิถุนายน 2550 เป็นวันครบวาระการดำรงตำแหน่งของอธิการบดี มศว ในขณะที่เขียนบทความนี้ อธิการบดี มศว คนเดิมทำหน้าที่รักษาราชการแทนอธิการบดี นับตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2550 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม สภา มศว ได้มีมติรับรองอธิการบดี มศว คนเดิม เป็นอธิการบดี มศว ต่อไปในวาระที่สอง ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2550 เพราะข้อบังคับมิได้ห้ามไว้
ประเด็นที่น่าสนใจยิ่งก็คือ การเข้าสู่ตำแหน่งอธิการบดี มศว มีกระบวนการอย่างไร และกระบวนการดังกล่าวสามารถสร้างมิติใหม่ในการดึงเอาอนาคตของ มศว มาเป็นปัจจัยกระตุ้นพลังสร้างสรรค์ขององค์กร เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จด้วยความรักต่อองค์ และด้วยความรับผิดชอบอย่างมีสำนึก ได้หรือไม่

4.1 สาระสำคัญของกระบวนการสรรหาอธิการบดี มศว
ใน พระราชบัญญัติ มศว ไม่มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าหลักการหรือฐานคิดของการได้มาซึ่งอธิการบดี มศว มีอะไรบ้าง จึงเป็นอำนาจของสภา มศว ที่จะกำหนดเอาเองในข้อบังคับ มศว ว่าด้วยการสรรหาอธิการบดี ซึ่งฉบับปัจจุบันเป็นฉบับปี พ.ศ. 2546
สาระสำคัญของข้อบังคับนี้ เกี่ยวกับการสรรหาอธิการบดี มศว ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของบทความนี้ มีดังต่อไปนี้
ประการแรก การได้มาซึ่งอธิการบดี มศว กระทำด้วยวิธีการเสนอชื่อเท่านั้น ห้ามดำเนินการด้วยวิธีการเลือกตั้งหรือการหยั่งเสียง
ประการที่สอง ก่อนวันหยั่งเสียง สภา มศว ตั้งคณะทำงาน 1 ชุด เพื่อจัดทำ “วิสัยทัศน์ มศว ในระยะ 4 ปีข้างหน้า” ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของบุคลากร มศว ในส่วนราชการต่างๆ โดยใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนที่คณะกรรมการสรรหาจะเริ่มดำเนินงาน
ประการที่สาม เมื่อคณะทำงานจัดทำ“ร่างวิสัยทัศน์ มศว” เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำเสนอต่อสภา มศว เพื่อพิจารณาและให้ความเห็นชอบ สำหรับใช้ประโยชน์อย่างน้อย 6 ด้าน คือ
(1)สภา มศว ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาเพื่อลงมติรับรองอธิการบดีคนใหม่ ในขั้นตอนสุดท้าย
(2)สภา มศว ใช้เป็นแนวทางในการกำกับ ติดตาม และประเมินการปฏิบัติภารกิจของอธิการบดีคนใหม่
(3)คณะกรรมการสรรหาใช้เป็นแนวทางในการพิจาณาคัดเลือกผู้เหมาะสม 1 ชื่อเป็นอธิการบดี เพื่อเสนอต่อสภา มศว
(4)คณะกรรมการประจำส่วนราชการ ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาคัดเลือกผู้ถูกเสนอชื่อและจัดทำบัญชีรายชื่อไม่เกิน 3 ชื่อ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสรรหา
(5)ผู้มีสิทธิเสนอชื่อ ใช้เป็นแนวทางในการเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดี มศว
(6)ประชาคม มศว ทุกภาคส่วนใช้เป็นกรอบและแนวทางในการปฏิบัติงาน และติดตามความเป็นไปในการบริหารจัดการ มศว โดยรวม
ประการที่สี่ สภา มศว ดำเนินการเพื่อให้มีการจัดทำคุณลักษณะ 7 ประการ พร้อมเกณฑ์การให้น้ำหนัก เพื่อใช้ประโยชน์อย่างน้อย 4 ประการ ดังนี้
(1)สภา มศว ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาเพื่อลงมติรับรองอธิการบดีคนใหม่ ในขั้นตอนสุดท้าย
(2)คณะกรรมการสรรหาใช้เป็นแนวทางในการพิจาณาคัดเลือกผู้เหมาะสม 1 ชื่อเป็นอธิการบดี เพื่อเสนอต่อสภา มศว
(3)คณะกรรมการประจำส่วนราชการ ใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาคัดเลือกผู้ถูกเสนอชื่อและจัดทำบัญชีรายชื่อไม่เกิน 3 ชื่อ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสรรหา
(4)ผู้มีสิทธิเสนอชื่อ ใช้เป็นแนวทางในการเสนอชื่อผู้สมควรดำรงตำแหน่งอธิการบดี มศว
ประการที่ห้า ไม่มีการกำหนดให้ผู้เสนอชื่อได้รู้จัก หรือรับฟังแนวคิดในการบริหารงานของผู้ถูกเสนอชื่อเลยในระดับส่วนราชการ
ประการที่หก มีการกำหนดให้ผู้ถูกเสนอชื่อ ในบัญชีที่ส่วนราชการส่งไปยังคณะกรรมการสรรหา นำเสนอวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการสรรหา เพื่อพิจารณาคัดเลือกให้เหลือเพียง 1 ชื่อ แต่ไม่มีการกำหนดให้ประชาคม มศว หรือสาธารณะได้มีโอกาสรับฟังการนำเสนอวิสัยทัศน์ในการบริหาร มศว ในอนาคต 4 ปีข้างหน้าดังกล่าว
สาระสำคัญทั้ง 6 ประการที่กล่าวมา เป็นกรอบที่จะช่วยให้เราสามารถพิจารณาได้ว่ากระบวนการได้มาซึ่งอธิการบดี มศว เป็นเงื่อนไขหรือปัจจัยที่สามารถช่วยหรือเอื้อให้เกิดการระดมพลังสร้างสรรค์ขององค์กร มศว เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จในอนาคตได้มากน้อยเพียงใด การตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจน ต้องมาดูที่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้เขียนขอนำเสนอทีละประเด็นในหัวข้อถัดไป

4.2 ความจริงเชิงประจักษ์ในการได้มาซึ่งอธิการบดี มศว และการจัดทำวิสัยทัศน์ มศว
ผู้เขียนสามารถกล่าวได้อย่างไม่ผิดพลาดได้เลยว่า จนกระทั่งถึงวันที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความนี้อยู่(10 กรกฎาคม 2550) มีบุคลากร มศว จำนวนไม่น้อย รวมทั้งนิสิตเกือบทั้งมหาวิทยาลัย ยังไม่ทราบว่ากระบวนการสรรหาอธิการดี มศว ได้ดำเนินการไปถึงขั้นตอนไหน อย่างไรแล้ว และอนาคตของ มศว จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน คนเหล่านี้จำนวนไม่น้อย ทราบจากสื่อมวลชนหลายแหล่ง และจากการสื่อสารระหว่างกันเองภายในองค์การว่า ศาลปกครองมีคำสั่งให้การสรรหาอธิการบดี ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นโมฆะ พวกเขาทราบถึงการที่อธิการบดีของมหาวิทยาลัยศิลปากร ถูกปลดออกจากตำแหน่งโดยสภามหาวิทยาลัย พวกเขาทราบความเคลื่อนไหว ของการได้มาซึ่งอธิการบดีคนใหม่ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง และพวกเขาทราบว่าการสรรหาอธิการบดีของมหาวิทยาลัยนครพนม ดำเนินไปอย่างไร และผลเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
สถานการณ์ดังที่กล่าวมา ในกรณีของ มศว มิใช่เกิดจากความไม่ใส่ใจของบุคลากรเหล่านั้นเป็นการส่วนตัว หากแต่เกิดจากโครงสร้างหรือกระบวนการ ในการดำเนินงานในการสรรหาอธิการบดี มศว ที่ไม่เอื้อต่อการรับรู้และการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายเป็นสำคัญต่างหาก ดังจะเห็นได้จากข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่สำคัญ ในกระบวนการสรรหาอธิการบดี มศว ที่ผ่านมา ซึ่งมีดังต่อไปนี้
ประการแรก ในการได้มาซึ่งคณะทำงานเพื่อจัดทำ“ร่างวิสัยทัศน์ มศว อนาคต 4 ปีข้างหน้า” ประชาคม มศว ในภาคส่วนต่างๆ มิได้มีส่วนในประการใดเลย ในการเสนอชื่อตัวแทนของพวกเขาเป็นกรรมการในคณะทำงาน จริงอยู่ แม้ว่าเป็นอำนาจของสภา มศว ที่จะดำเนินการอย่างไรก็ได้ แต่ก็มิใช่ความเสียหายแต่ประการใด ที่จะให้โอกาสแก่ประชาคม มศว มีส่วนร่วมในเรื่องดังกล่าวมิใช่หรือ เพราะความเกี่ยวเนื่องต่อความสำเร็จในการจัดทำร่างวิสัยทัศน์ มศว ที่จะตามา เป็นสิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ไม่ยาก ผู้เขียนไม่ทราบเหตุผลจริงๆว่า อะไรทำให้สภา มศว มองไม่เห็นความสำคัญของการมีตัวแทนประชาคม มศว อย่างหลากหลายในคณะทำงานชุดดังกล่าว
ประการที่สอง ขณะที่ข้อบังคับได้ระบุเงื่อนไขเวลาในการดำเนินการสำหรับคณะทำงานไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่สภา มศว แต่งตั้งคณะทำงานดังกล่าว ด้วยเงื่อนไขเวลาที่ไม่เอื้อให้คณะทำงานสามารถทำงานได้อย่างเปิดกว้าง ครอบคลุม และมีความหมายอย่างแท้จริง แม้สิ่งนี้ไม่ใช่ความผิดตามข้อบังคับก็ตาม แต่เห็นได้ชัดเจนว่า การให้คุณค่าในเรื่องดังกล่าวมีน้อยเกินไป ไม่สมศักดิ์ศรีของคน มศว แต่อย่างใด จึงเป็นสิ่งที่น่าละอายใจอย่างยิ่ง
ประการที่สาม ลักษณะการดำเนินงานของคณะทำงาน หาได้มีนัยยะสำคัญที่สะท้อนถึงความเลื่อมใส ความศรัทธา และความจริงจังในกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาคม มศว แต่อย่างใดไม่ ทั้งนี้ เวลาระยะสั้นๆที่ใช้ในการส่งบันทึกไปและกลับระหว่างคณะทำงานและบุคลากร การสื่อสารที่ไม่ทั่วถึงและครอบคลุมอย่างได้ผล การนำเสนอ“ร่าง”ที่จัดทำไว้แล้ว เพื่อให้บุคลากรพิจารณา(อย่างไม่ทราบที่มาและที่ไป) โดยกระบวนการสื่อสารแบบปิด ทางเดียวและแนวดิ่งตามสายการบังคับบัญชา(one-way, close, vertical and hierarchical communication) เป็นข้อเท็จจริงที่สะท้อนและยืนยันว่า คณะทำงานดังกล่าว นอกจากจะใช้เวลาไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะทำแล้ว ยังไม่ใส่ใจในสาระสำคัญของการสื่อสารเชิงปฏิสัมพันธ์แบบเปิด แนวราบ และมีส่วนร่วม(interactive, open, horizontal and participatory communication) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งยวด(critically significant factor)ในการจัดทำวิสัยทัศน์ในยุคสมัยปัจจุบันด้วย
ประการที่สี่ เมื่อคณะทำงานได้รับทราบข้อมูลย้อนกลับในวงจำกัด(limited feedback)จากบางส่วนของประชาคม มศว และนำไปปรับแก้ใน“ร่างวิสัยทัศน์”ของตนเองแล้ว แทนที่จะให้ประชาคม มศว มีโอกาสรับทราบอีกครั้งหนึ่ง เพื่อกระตุ้นความสนใจและการมีส่วนร่วมในขั้นสุดท้าย ซึ่งจะส่งผลให้ประชาคมได้รับทราบว่าสาระสำคัญของวิสัยทัศน์มีอะไรบ้าง แต่ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆเกิดขึ้นเลยระหว่างคณะทำงานกับประชาคม มศว ดังนั้น หากตั้งข้อสงสัยว่า คณะทำงานจัดทำร่างวิสัยทัศน์ด้วยตนเองทั้งหมด โดยประชาคม มศว ไม่มีส่วนอย่างสำคัญเลยแล้ว ก็เป็นการยากที่คณะทำงานจะหาเหตุผลที่ยอมรับได้มาอธิบายต่อประชาคม มศว
ประการที่ห้า เมื่อคณะทำงานนำเสนอร่างวิสัยทัศน์ต่อสภา มศว ได้มีข้อเสนอแนะบางประการจากสภา มศว ต่อร่างวิสัยทัศน์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เมื่อคณะกรรมการสรรหาอธิการบดีนำ“วิสัยทัศน์ มศว”เผยแพร่ต่อประชาคม มศว ปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวยังมิได้มีการแก้ไขปรับปรุงใดๆเลยตามที่สภา มศว ให้ความเห็นไว้
ประการที่หก เมื่อคณะกรรมการสรรหาส่งเอกสาร“วิสัยทัศน์ มศว” พร้อมเกณฑ์คุณลักษณะ 7 ประการ ไปยังคณะกรรมการประจำส่วนราชการและบุคลากรของ มศว และผู้มิสิทธิเสนอชื่ออื่นๆ คณะกรรมการสรรหามิได้มีการสื่อสารที่เป็นจุดเน้นใดๆว่า เอกสาร 2 ประการนี้ เป็นข้อพิจารณาพื้นฐานในการเสนอชื่อบุคคล และเป็นกรอบในการคัดชื่อบุคคลออก ก่อนส่งรายชื่อไม่เกิน 3 คนไปยังคณะกรรมการสรรหา ดังจะเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่เป็นประจักษ์ว่า ในการส่งรายชื่อให้แก่คณะกรรมการสรรหาในรอบแรกนั้น คณะกรรมการประจำส่วนราชการ ไม่ได้พิจารณาข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นทางการและที่ได้รับการรับรองจากผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีแต่อย่างใด ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ถูกคัดชื่อออก ก็มิได้เป็นเพราะขาดคุณสมบัติแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะความถี่ในการถูกเสนอต่ำกว่าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความถี่ในการถูกเสนอมิใช่เกณฑ์พิจารณาตามข้อบังคับแต่อย่างใด ในประเด็นนี้ ผู้เขียนขอย้ำว่า มศว ใช้วิธี“การเสนอชื่อ” มิใช่“การเลือกตั้ง”หรือ“การหยั่งเสียง” ดังกรณีของการได้มาซึ่ง สส. หรือกรณีของอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตามลำดับแต่อย่างใด
ประการที่เจ็ด ผู้ที่คณะกรรมการสรรหาคัดชื่อเอาไว้ 3 ท่านนั้น[2] ประชาคม มศว ไม่เคยรับทราบเลยว่า ท่านเหล่านั้นคิดและมีแนวทางในการทำงานเพื่อ มศว ใน 4 ปีข้างหน้า อย่างไรบ้าง ทั้งๆที่ 4 ปีข้างหน้านั้นเป็น 4 ปีที่กระทบต่อชีวิตการงานและชีวิตครอบครัวของสมาชิกประชาคม มศว รวมทั้งนิสิตจำนวนเรือนพันเรือนหมื่นเลยทีเดียว เพราะคณะกรรมการสรรหาไม่เปิดเวทีการนำเสนอวิสัยทัศน์ของทั้ง 3 ท่านให้ประชาคม มศว ได้รับทราบ ผู้เขียนทราบแต่เพียงว่า คณะกรรมการสรรหาต้องการให้เป็นความลับ จะด้วยเหตุผลใดไม่อาจทราบได้ แต่การที่ประชาคม มศว และสาธารณะจะได้รู้จักบุคคล ความคิด และจินตนาการของผู้ที่จะเป็นผู้นำของมหาวิทยาลัยเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียงเช่น มศว เป็นเรื่องเสียหายมากมายเชียวหรือ การได้รู้สึกภาคภูมิใจกับผู้ที่จะนำพาองค์การวิชาการ ไปสู่ความสำเร็จในการรับใช้สังคมและความเป็นเลิศทางวิชาการในอนาคต น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีและสร้างปิติให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมิใช่หรือ ผู้เขียนยังคงกังขากับประเด็นนี้เป็นอย่างยิ่ง และเมื่อหันไปดูมหาวิทยาลัยนครพนม ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยน้องใหม่ มีการประกาศชื่ออธิการบดีคนใหม่เรียบร้อยแล้วต่อสาธารณะ ผู้เขียนเกิดความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า การสรรหาอธิการบดี มศว ช่างดูเป็นสิ่งชอบกลเสียนี่กระไร
ประการที่แปด จนถึงบัดนี้ เลยเวลาเปิดเรียนปีการศึกษา 2550 มาแล้วกว่า 1 เดือน ประชาคม มศว ยังไม่ได้รับทราบอย่างเป็นทางการเลยว่า สภา มศว มีมติรับรองให้ใครเป็นอธิการบดี มศว คนต่อไป

5.ล้อ มศว ต่อจากอาจารย์ประเวศ
หากกล่าวอย่างรวบรัดแล้ว ข้อคิดและข้อเสนอแนะจากบทความของอาจารย์ประเวศ บอกเราว่า ผู้นำองค์การที่พึงประสงค์ในยุคสมัยปัจจุบัน คือผู้ที่สามารถโน้มนำให้สมาชิกองค์การทั้งมวล ร่วมกันระดมสรรพกำลังที่หลากหลาย เพื่อสร้างจินตนาการใหม่ สู่อนาคตแห่งความสำเร็จ บนพื้นฐานของสำนึกรับผิดชอบร่วมกัน บนพื้นฐานของความรักที่มีต่อองค์การและต่อเพื่อนร่วมงาน
รูปธรรมที่สะท้อนถึงผู้นำดังกล่าว ก็คือ การสร้างวิสัยทัศน์ร่วม ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง(genuine participation) ซึ่งจะนำไปสู่การอุทิศตนของมวลสมาชิกขององค์การอย่างไม่ย่อหย่อน(endless devotion) จนบรรลุอนาคตที่ร่มเย็นเป็นสุขร่วมกัน
หากยึดเอาว่า บทความของอาจารย์ประเวศ ต้องการบอกให้ประชาคม มศว รับรู้ด้วยว่า วิสัยทัศน์ มศว ควรมาจากจินตนาการใหม่ของ ประชาคม มศว เป็นวิสัยทัศน์ที่เกิดจาการรวมตัวกันทำในสิ่งที่ดี เป็นวิสัยทัศน์ที่สะท้อนการสร้างพลังมหาศาล(มหาชนานุภาพ)ในการเคลื่อนไปข้างหน้า เป็นวิสัยทัศน์ที่เกิดจากพลังของอนาคต เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขทั่วทั้งองค์กร มศว แต่สิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอมา ในประเด็นของการสรรหาอธิการบดีและการจัดทำวิสัยทัศน์ มศว กลับนำไปสู่ภาพลักษณ์ที่ตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เป็นภาพลักษณ์ที่คล้ายจะล้อ มศว ว่า
(1)พลังสร้างสรรค์มหาศาลขององค์กร มศว ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมของสมาชิกในองค์กร มศว(เพราะคณะผู้บริหาร มศว มีสติปัญญาเป็นเลิศเหนือกว่าทุกคนใน มศว อยู่แล้ว ????)
(2)สภา มศว หรือ ผู้บริหาร มศว ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำให้สมาชิกขององค์การ มศว สร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมกัน(เพราะไม่มีกฎหมายใดๆกำหนดให้ต้องทำเช่นนั้นเลย จะเหนื่อยทำไปเพื่ออะไร ???)
(3)แม้จะให้สมาชิก มศว มีส่วนร่วมในการสร้างเป้าหมายและวิสัยทัศน์ร่วมแล้วก็ตาม พฤติกรรมองค์การของคน มศว ก็ไม่อาจเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คน มศว ไม่จำเป็นต้องรักองค์กร มศว หรือรักกันเอง และร่วมกันทำงานเสมอไป อีกทั้งผู้บริหาร มศว ก็คงต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ร่ำไปนั่นเอง(เพราะคน มศว ไม่ได้ความมาแต่ไหนแต่ไร เห็นแก่ตัว คอยหนีงาน และแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวอยู่ล่ำไป ???)
(4)ไม่จำเป็นต้องให้คน มศว รวมตัวกันทำสิ่งใหม่ที่ดี โดยเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นคนของคน มศว ทุกคน เพราะเป็นเรื่องยาก และเพราะเราไม่ต้องการเปลี่ยนจากนรกเป็นสวรรค์แต่อย่างใด(เพราะคน มศว ให้ความสนใจเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เสียเมื่อไรเล่า เขาอยากอยู่ในนรกก็ช่างเขา ส่วนเรา คณะผู้บริหารอยู่สวรรค์กันต่อไปดีกว่า ???)
“จตุอัปลักษณ์”ที่ผู้เขียนล้อให้เห็น หาใช่สิ่งที่ผู้เขียนอยากเห็นแต่อย่างใดไม่ และผู้เขียนเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความสุจริตใจว่า คน มศว ทั้งมวลก็ไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเช่นเดียวกัน แต่“จตุอัปลักษณ์”ดังกล่าว กลับกลายเป็นสิ่งที่ปรากฏจริงในลักษณะแอบแฝงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อมองผ่านกรอบคิด จากคุณูปการของบทความของอาจารย์ประเวศ ผู้เขียนนึกถึงถ้อยคำสมัยเด็กๆที่ชอบพูดกันว่า “เย้วๆ น่าไม่อาย” เวลาเราจะล้อเพื่อน คงถึงเวลาที่ผู้เขียนคงต้องล้อตนเองอีกครั้งหนึ่งว่า “เย้วๆ น่าไม่อาย อาจารย์ประเวศเตือนแล้ว ทำไมไม่ทำ”

6.เริ่มใหม่ยังไม่สาย
แม้สภาวะไม่พึงประสงค์(undesirable occurrences)หลายประการจะเกิดขึ้นแล้ว ทั้งในกระบวนการสรรหาอธิการบดี มศว และในกระบวนการจัดทำวิสัยทัศน์ มศว ก็ตามที แต่ผู้เขียนคิดว่ายังไม่สายเกินแก้ ถ้าสายเกินแก้เสียแล้ว อาจารย์ประเวศคงไม่นำเสนอบทความดังกล่าวต่อสังคมไทย
เราจะเริ่มกันอย่างไรดี ผู้เขียนคิดว่า ข้อบังคับ มศว เป็นกลไกที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์หลายสิ่งที่เราต้องการ ถ้าเช่นนั้น เราคงต้องเริ่มจากสาระในข้อบังคับนั้นเอง โดยมีกระบวนการ ดังต่อไปนี้
(1)ประชาคม มศว หรือ สภา มศว ร่วมกันหรือเปิดโอกาส ให้เกิดการร่วมกันศึกษา วิเคราะห์ และวิพากษ์ อย่างเปิดกว้างและครอบคลุมอย่างต่อเนื่อง ในประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่างๆในข้อบังคับ ตามกรอบคิดในบทความของอาจารย์ประเวศ
(2)เปิดเวทีสาธารณะใน มศว เพื่อให้ประชาคม มศว ร่วมกันนำเสนอประเด็นแก้ไขปรับปรุง โดยให้มีการนำเสนอหลักการรองรับในแต่ละประเด็นที่แก้ไขอย่างชัดเจน
(3)เมื่อได้ข้อยุติในการถกเถียงในประเด็นต่างๆแล้ว นำเสนอต่อสภา มศว เพื่อพิจารณาและแก้ไขข้อบังคับเก่า ให้สอดคล้องกับหลักคิดตามบทความของอาจารย์ประเวศ
จากขั้นตอนทั้ง 3 ที่กล่าวมา ข้อบังคับใหม่ที่แก้ไขแล้ว จึงมีฐานะเป็นผลผลิตร่วมของปัญญาร่วมของคน มศว(SWU common wisdom-based product)และจะนำไปสู่การมีส่วนร่วมในกิจการของ มศว ในอนาคตอย่างกระตือรือร้น อย่างมีความสุข และอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

7.บทสรุป
การได้มาซึ่งผู้นำของ มศว และการจัดทำวิสัยทัศน์ของ มศว เป็นกระบวนการแฝด(dual processes)ที่มีลักษณะปิดและปิดลับ(closed and secret) ซึ่งไม่เอื้อต่อการสร้างสรรค์องค์กร มศว(detrimental to organizational creativity)ในภาวะปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งที่กระบวนทัศน์ฐานอำนาจ(power-based paradigm)ดังกล่าว จะต้องปรับเปลี่ยนไปสู่กระบวนทัศน์ฐานปัญญา(wisdom-based paradigm)อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้เกิดผู้นำ มศว และวิสัยทัศน์ มศว ที่มีลักษณะเปิดและโปร่งใส(open and transparent) ซึ่งยังไม่สายเกินไป และยังไม่ยากเกินการกระทำสำหรับประชาคม มศว ยุทธศาสตร์ทางปัญญาแบบมีส่วนร่วม(participatory wisdom strategy)คือคำตอบสำหรับความร่มเย็นเป็นสุขของประชาคม มศว และสังคมไทยโดยส่วนรวม

[1] ตีพิมพ์ในเอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการประจำปี 2550 ปอมท. เรื่อง “ทิศทางอุดมศึกษาไทย: จุดเปลี่ยนที่ท้าทาย” วันที่ 6-7 กันยายน 2550 ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์ หลักสี่ กรุงเทพฯ หน้า 242-248

[2] ประเด็นนี้ ยังเป็นปัญหาแฝงเร้นอยู่ เพราะมิได้มีข้อบังคับใดๆที่ระบุว่า ให้คณะกรรมการสรรหาสามารถคัดเลือกไว้เพียง 3 ชื่ออย่างชัดเจน เพื่อให้มานำเสนอวิสัยทัศน์ ก่อนที่จะคัดเลือกให้เหลือเพียง 1 ชื่อ เพื่อเสนอต่อสภา มศว ดังเช่นกรณีของการสรรหานายกสภา มศว และกรรมการสภา มศว ผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งข้อบังคับได้ระบุจำนวนที่ต้องคัดเลือกไว้ก่อนพิจารณาขั้นสุดท้ายอย่างชัดเจน ดังนั้น การที่คณะกรรมการสรรหากำหนดเอาเองว่า ต้องการคัดไว้ 3 ชื่อนั้น ย่อมกระทบต่อประโยชน์ของผู้ที่ถูกคัดออกก่อนอย่างแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น